‘อยู่กับปัจจุบัน’ อาจไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด เมื่อ ‘การท่องเวลาผ่านความทรงจำ’ คือทักษะที่จำเป็นในปี 2021

In Summary

  • ความสามารถในการท่องเวลาผ่านความทรงจำ (Mental Time Travel) คือทักษะที่ทำให้เราสามารถคิดย้อนอดีตและคาดการณ์อนาคตได้
  • หลายคนมองว่าการอยู่กับปัจจุบันนั้นดีที่สุด แต่แท้จริงแล้ว ทักษะนี้เองที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์และวิวัฒนาการมาได้จนถึงปัจจุบัน
  • ทักษะนี้จำเป็นมากสำหรับการอยู่รอดในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน เพราะมันจะทำให้เรารู้จักคาดการณ์อนาคตได้ดี รู้จักเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมากับความผิดพลาด ทำให้เรายืดหยุ่น ปรับตัวได้ไว เข้ากับเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างปี 2021 จริงๆ
เราทุกคนต่างมีความสามารถในการเป็น ‘นักท่องเวลา’ (Mental Time Travel) ซ่อนอยู่ และเราก็ใช้ความสามารถนี้ทุกวัน โดยแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ในสมองของเรากักเก็บความทรงจำมากมายที่อาจย้อนกลับไปได้ถึง 50-60 ปี เราย้อนกลับไปหวนคิด และครุ่นคิดไปที่อดีตบ่อยครั้ง และนอกจากนี้เรายังจินตนาการเหตุการณ์ในอนาคตอย่างเป็นเรื่องราวอยู่แทบจะทุกชั่วโมง

คำว่า ‘อยู่กับปัจจุบัน’ คือคำคมสั้นๆ ง่ายๆ ที่เราต่างยึดถือเพื่อพยายามจะดึงสติตัวเองกลับมาให้ไม่คิดฟุ้งซ่าน (แม้จะทำไม่ค่อยได้นัก) คำกล่าวนี้ทำให้การเดินทางกลับไปในอดีตนั้นดูจะเป็นเรื่องไร้สาระแต่ในความเป็นจริงแล้ว หวนกลับนึกถึงอดีตคือทักษะที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์ และทำให้เราวิวัฒนาการมาได้จนถึงทุกวันนี้

มนุษย์เราคงไม่เริ่มเพาะปลูก หากไม่รู้จักคาดการณ์ว่าในอนาคตต้นไม้จะโต มนุษย์เราคงไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดหากไม่เคยคิดย้อนไปหาความทรงจำในอดีต

และนี่คือสาเหตุว่าทำไมวันนี้เราจะมาแนะนำให้ทุกคนลองเลิกพยายามอย่างหนักเพื่อจะอยู่กับปัจจุบันจนเกินจำเป็น และหันมาใช้ให้ความสำคัญกับทักษะนี้ที่ธรรมชาติมอบให้เราตั้งแต่ 300,000 ปีที่แล้ว ให้เป็นประโยชน์กัน

เพราะการคาดการณ์อนาคตที่ดี และการเรียนรู้ความผิดพลาดอย่างมีเหตุผลผ่านอดีตนั้นเป็นทักษะที่จำเป็นต้องมีมากในปี 2021 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ และ 3 เทคนิคนี้จะช่วยให้เราอยู่กับอดีตได้อย่างมีประโยชน์
จะการท่องเวลาได้ คิดฟุ้งได้ แต่ต้องรู้ตัวเสมอ
การย้อนกลับไปนึกถึงอดีตมีทั้งแบบที่เป็นประโยชน์และแบบที่บั่นทอนจิตใจ เช่น การคาดการณ์อนาคตอย่างมีความหวัง และคิดเผื่อเพื่ออุดรอยรั่วความผิดพลาดในอนาคต สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าเป็นการใช้ทักษะนี้อย่างมีประโยชน์ แต่การมัวแต่คิดวนไปถึงความผิดพลาดความเศร้าในอดีต หรือกังวลมากเกินไปนั้นรังแต่จะทำให้เราเสียสุขภาพจิตและกระทบตัวเราในปัจจุบันมาก

ข้อควรระวังอีกอย่างคือสมองของเรานั้นมีความสามารถในการเสริมเติมแต่งความทรงจำด้วยอารมณ์ความรู้สึก เช่น เราไม่ค่อยมีความสุขนักในการทำงานที่เก่า สมองจะค่อยๆ ลบเอาเรื่องดีๆ ที่มีเกี่ยวกับที่นั่นออกไปจากหัวเรา และเพิ่มความเข้มข้นของเหตุการณ์แย่ๆ จนเหมือนว่ามันไม่มีอะไรดีเลย

สิ่งที่ควรทำคือการตระหนักรู้เสมอว่าเรากำลังคิดย้อนอดีต เรากำลังคาดการณ์อนาคตอยู่ อดีตในความทรงจำที่ดูแย่เกินจริง หรืออนาคตที่ดูน่ากังวลนั้นเป็นเพราะเราเสริมเติมแต่ง ถ้าเรามีทักษะในการตระหนักรู้ เชื่อเถอะว่าเราจะได้ประโยชน์ คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และรับมือกับความฟุ้งซ่านในหัวได้ดีขึนอีกเป็นกอง
Photo by Tim Samuel on Pexels.com

 

ลองดึงตัวเองออกมาจากตัวเราเองสักนิด
เพราะการเป็นตัวเรามันมีปัจจัยเสริมต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึก สถานการณ์รอบข้าง ความสัมพันธ์ ช่วงชีวิต เพราะฉะนั้นการสร้างระยะห่าง ดึงตัวเองออกมาจากตัวตนที่หมกมุ่นนั้นจะทำให้เรามองเรื่องราวได้อย่างเป็นกลางและสมจริงมากขึ้น

อยากดึงตัวเองออกมาต้องทำยังไง? วิธีง่ายๆ คือการมองจากมุมมองของคนอื่น เพื่อตัดสินจากหลักเหตุผลที่ไม่มีส่วนประกอบของอารมณ์ เช่น ถ้าคุณกำลังโกรธมากที่ขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ลองดึงตัวเองออกมาเป็นคนนอก ตัดความรู้สึกของความเป็นเพื่อนออก แล้วคิดใหม่ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

การดึงตัวเองออกมาจากความรู้สึกแย่นั้นช่วยได้มากในปีแห่งความไม่แน่นอนอย่างปี 2021 นี้ การคิดอย่างมีเหตุผล และตัดอารมณ์ทิ้งจะทำให้สภาพจิตใจเราดีขึ้น ทำให้เรายืดหยุ่นและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ไวขึ้น

ให้พื้นที่ของเหตุผลได้แยกจากอารมณ์บ้าง จะทำให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขี้น รู้ว่าตัวเองไม่ดีตรงไหน ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเรายังมองจากมุมมองของตัวเองที่ว่าตัวเรานั้นถูกเสมอ นอกจากนี้ยังทำให้เราเห็นทางที่ต้องเดินต่อไป และตัดสินใจในระยะยาวได้แม่นยำขึ้น
คิดยาวๆ เข้าไว้คาดการณ์อนาคตอย่างรอบคอบ
การจำลองสถานการณ์ในอนาคตเป็นอีกความสามารถอันน่าพิศวงของมนุษย์เรา และการคาดการณ์อย่างละเอียดรอบคอบนั้นก็ช่วยอุดช่องโหว่ความผิดพลาดได้มาก เราเรียกคนที่คาดการณ์อนาคตได้เก่งว่าเป็นคนที่มี ‘วิสัยทัศน์’

แต่นอกจากเรื่องของวิสัยทัศน์ การคาดการณ์อนาคตนั้นช่วยปลอบประโลมเราจากความผิดหวังได้ เช่น การล็อคดาวน์ทำให้คุณอดไปทริปที่แพลนมานาน คุณหัวเสียมาก หงุดหงิดและโทษทุกอย่างไปหมด แต่หากคุณคาดการณ์ไปว่าถ้าฉันไป ฉันอาจจะติดโควิด-19 กลับมา และทำให้คนรอบตัวต้องลำบาก คุณก็จะรู้สึกดี และรับมือกับความผิดหวังนั้นได้ดีมากขึ้น

นอกจากนี้การคาดการณ์อนาคตนั้นจะช่วยให้เรามีความยับยั้งชั่งใจ เช่น ถ้าเรากำลังลดความอ้วนอยู่ แต่เกิดโหยของหวานจนทนไม่ไหวขึ้นมา ลองหยุดคิดสักนิด ว่าการกินของหวานครั้งนี้อาจทำให้สิ่งที่เราตั้งใจมานานต้องล้มเหลวลงได้ในอนาคต

คิดไตร่ตรองถึงโซ่ของผลกระทบที่เกิดต่อกันเป็นทอดๆ บางทีอาจจะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้าย แต่มันก็อาจทำให้เราตัดสินใจยับยั้ง ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรได้ดีขึ้น แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่า ‘คิดยาว’ ที่มักจะตรงกันข้ามกับคำว่า ‘คิดสั้น’ หรือ ‘คิดตื้น’

ยิ่งในเวลาที่ไม่แน่นอนแบบนี้ การคิดยาวๆ เข้าไว้ ย่อมดีกว่าทำอะไรโดยไม่สนผลที่ตามมาแน่นอน

เดินทางกลับไปในความทรงจำอย่างปลอดภัย มองเรื่องราวและเหตุการณ์อย่างเป็นกลาง และคาดการณ์อนาคตอย่างรอบคอบ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราจะทำไม่ได้หากไม่มีทักษะในการท่องเวลา และนั่นคือทักษะที่ขาดไม่ได้เลยที่จะทำให้เราอยู่รอดในปี 2021 ระลึกไว้เสมอว่า ไม่ว่าเรื่องราวรอบตัวจะไม่แน่นอนแค่ไหน อย่างน้อยเรายังมีตัวเราที่ควบคุมได้เสมอ

Source

Created with