Remote Working จะยังเป็นเทรนด์ต่อไป แม้ผ่านวิกฤตโควิด

ทำงานหนักกว่าเดิม ประชุมถี่เหลือเกิน เป็นเสียงสะท้อนในรอบ 1 ปี กว่าๆ ที่ผ่านมา ของคนที่ทำงานแบบ Remote Working หรือการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) สาเหตุหลักก็มาจากการที่โลกของเรายังไม่สามารถจัดการกับวิกฤตโควิด-19 ได้

ถึงแม้ว่าเสียงบ่นจะมีมากมาย แต่เมื่อให้พนักงานเลือกระหว่างกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ กับทำงานแบบ Remote Working พนักงานกลับเลือกที่จะทำงานจากที่ไหนก็ได้มากกว่า ซึ่งผลวิจัยของไมโครซอฟท์ ได้ชี้ให้เห็นว่า

–73% ของคนทำงาน ต้องการให้ remote work ยังคงดำเนินต่อไป
–การประกาศรับสมัครงานที่สามารถทำจากที่ไหนก็ได้บน LinkedIn เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาด
–แรงงานทั่วโลกกว่า 40% กำลังพิจารณาที่จะย้ายออกจากนายจ้างเดิมในปีนี้ และ 46% กำลังวางแผนที่จะย้ายงานที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้

ด้านบริษัทอย่าง Facebook และ Twitter ก็ได้ออกนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้านไปตลอดไป และล่าสุด บริษัทที่ปรึกษา Deloitte ก็ให้พนักงานในสหราชอาณาจักรกว่า 20,000 คนสามารถทำงานจากที่บ้านได้ ถึงแม้จะผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปแล้วก็ตาม

ซึ่งเมื่อถามว่า ทำไมบริษัทต่างๆ ถึงกล้าจะให้พนักงานทำงานแบบ Remote ต่อไปได้หลังวิกฤตโควิด-19 ในบทความนี้ SHiFT Your Future ได้รวมรวมเหตุผลที่การทำงานจากที่ไหนก็ได้จะยังเป็นเทรนด์ต่อไป รวมถึงข้อควรระวังเมื่อให้พนักงานทำงานจากบ้านมากไป
คนคุ้นชินกับการ Remote Working แล้ว
หรือจะเรียกว่าเป็น Normal ไปแล้วก็ได้ ระยะเวลา 1 ปี กว่าๆ ที่ผ่านมา ทำให้คนส่วนมากสามารถปรับตัวทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปเจอหน้าเพื่อนร่วมงาน แต่ในบางสายงานก็อาจจะยังต้องมีวันที่ให้ทีมงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชุมพร้อมหน้ากันบ้าง

ประสิทธิภาพไม่ตก และดีขึ้นในบางองค์กร
ในช่วงแรกของการปรับตัวไปทำงานที่บ้าน หลายองค์กรประสบปัญหาด้านการทำงานเป็นทีม ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของการทำงานลดลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทได้เรียนรู้การนำเครื่องมือเข้ามาช่วยติดตามงาน ผ่านแพลตฟอร์มสื่อสารภายในองค์กร ระบบประชุมทางไกลที่ตอบโจทย์มากขึ้น ระบบคลาวด์ที่เอื้อต่อการจัดการไฟล์งาน ส่งผลให้ระบบการทำงานเริ่มเข้าที่เข้าทาง และช่วยส่งผลให้การทำงานแบบ Remote มีประสิทธิภาพได้ดีกว่าการให้พนักงานมารวมตัวกันที่บริษัท
จ้างพนักงานต่างพื้นที่ได้ โดยไม่ต้องให้ย้ายภูมิลำเนา
เป็น Pain Point สำหรับการทำงานรูปแบบเก่ามาตลอด เมื่อบริษัทอยากได้คนทำงานที่มีฝีมือที่อยู่คนละจังหวัด แต่เจ้าตัวไม่สะดวกย้ายที่อยู่ การทำงานแบบ Remote เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด บริษัทสามารถจ้างคนมาทำงานในตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันได้ง่ายขึ้น

ลดต้นทุนการเช่าสำนักงาน ที่เป็นรายจ่ายประจำ
เมื่อไม่ต้องให้พนักงานเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศทุกคนพร้อมหน้ากัน บริษัทสามารถจะเช่าออฟฟิศที่มีขนาดเล็กลงได้ รองรับการเจอกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เฉพาะทีม จัดที่นั่งเป็น Hot Seat หรือในบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คน สามารถใช้ Coworking Space เป็นที่พบปะกัน เช่าห้องประชุมเฉพาะในวันที่จำเป็นเท่านั้น

มีเวลากับชีวิตเพิ่มขึ้น
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงบ่นว่าต้องทำงานมากขึ้น แต่การทำงานแบบ Remote ช่วยให้พนักงานไม่ต้องเดินทางไป-กลับ ทุกวัน ซึ่งจะต้องเสียเวลาเหล่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่การจราจรติดขัด ทำให้คนหัวเสียจากการเดินทางมากกว่าทำงานเสียอีก

แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างจะมีข้อดี แต่บริษัทเองก็ต้องพึงระวัง เมื่อการ Remote Working ก็อาจจะส่งผลเสียบางประการเช่นกัน เช่น เบื่อจากการต้องอยู่บ้านตลอดเวลา ปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ออฟฟิศซินโดรม ขาดปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพกับเพื่อนร่วมงาน เช่น การนั่งทานข้าวร่วมกัน

ทั้งนี้บริษัทควรจะต้องมีมาตรการ จัดทีมเพื่อสอบถามดูแลสุขภาพจิตพนักงาน จัดกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ หรือนัดรวมตัวกันบ้าง เพื่อให้ได้ประสิทธิผลดีที่สุดจากการทำงาน Remote ของพนักงานในระยะยาว

-5 ขั้นตอน สร้างร้านค้าออนไลน์ให้น่าเชื่อถือ
-ทำไมการเรียนด้วย LMS ถึงมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนออนไลน์ทั่วไป
Created with