รู้จักพลังแห่งการพูดให้น้อยลง

In Summary

  • ในการประชุมส่วนมากคนหลายคนมักจะแย่งกันพูดเพื่อแสดงความคิดเห็น จนบางครั้งหลายคนมักคิดว่าการยิ่งพูดเยอะยิ่งดี แต่แท้จริงแล้วการพูดให้น้อยอาจดีกว่าและทำให้เรามีพลังมากกว่า
  • พูดน้อยทำให้เราได้เรียนรู้มุมที่ซ่อนอยู่จากการฟังที่มากขึ้น ทำให้คนอื่นคล้อยตามได้มากขึ้น การประชุมที่สั้นกว่าอาจทำให้เราได้เนื้อหามากกว่า
  • คนพูดน้อยจะเป็นคนที่มีพลังมากกว่าเพราะคนสนใจว่าเขาจะพูดอะไรพูดเปิดเผยตรงไปตรงไม่อ้อมค้อมทำให้คนรู้สึกดีกว่า คุณควรพยายามหยุดการถกเถียงที่ไม่จบสิ้น สังเกตภาษากายของคนอื่น และหากคุณพูดเยอะ ก็อย่ามองข้ามคนที่พูดน้อยเพราะเขาอาจมีความคิดที่ดีซ่อนอยู่
คุณเคยอยุ่ในการประชุมสุดดุเดือดที่คนมีอำนาจ 2 คนต่างเอาอีโก้ฟาดกันอย่างไม่หยุดยั้งมั้ย? และมักจะมีคนหนึ่งคนที่นั่งฟังการโต้เถียงนั้นอย่างเงียบเชียบ แม้มันจะถึงจังหวะที่การประชุมสุดพีคแล้ว เขาก็ยังไม่พูดอะไร แต่สุดท้ายเมื่อทุกคนพ่นสิ่งที่ตัวเองคิดไปหมดแล้ว และหันมาที่เขา นั่นคือเวลาที่คำพูดสุดหลักแหลม ความคิดสุดบรรเจิด ทางแก้ของทุกปัญหา หรือการตอกหน้าแบบสุภาพแต่เจ็บแสบให้ทุกคนกลับไปทบทวนตัวเองใหม่ถูกปล่อยออกมา

เมื่อลูกค้าเอาแต่เรียกร้องผลลัพธ์ที่สูงเกินควร และตำหนิเราอย่างไม่หยุดหย่อน เราได้แต่ทนฟัง ส่วนหัวหน้าที่เราเคารพมาตลอดของเรานั่งเงียบ และสุดท้ายเมื่อลูกค้าต่อว่าเราจนพอใจและหันกลับไปกดดันที่หัวหน้า

“สิ่งที่คุณต้องการมันไร้สาระ ถ้าผมบอกว่าผมทำให้คุณได้คงเป็นการโกหกโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเราจะทำอะไรร่วมกัน หรือหาข้อตกลงร่วมกันได้ คือเราต้องเปิดเผยจริงใจต่อกันก่อน” นี่คือหนึ่งประโยคที่หัวหน้าพูดขึ้นหลังเงียบมานานสองนาน และนั่นหยุดทุกการโต้เถียง และท้ายที่สุดการประชุมนั้นก็จบลงด้วยดี

นี่คือสิ่งที่ ทิม เดนนิง (Tim Denning) นักเขียนและผู้ประกอบการชื่อดังสอนเรา และเขาก็ได้สรุปบทเรียน 10 ข้อที่ทำให้เห็นประโยชน์ของการพูดน้อยต่อยหนัก เพื่อเปลี่ยนคุณให้เป็นคนที่มีอำนาจ คิดรอบคอบ และได้อะไรจากการประชุมและการทำงานมากกว่าการพ่นไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
คุณจะได้เรียนรู้มุมที่ซ่อนอยู่จากการฟัง
ในการประชุมที่คนหลายคนกำลังถกเถียงกันอย่างออกรส การเข้าไปร่วมผสมโรงด้วยอาจไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

ถ้าหากคุณตั้งใจฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้นนานพอ คุณจะได้ยินปัญหาที่ซ่อนอยู่ เพราะนั่นคือสิ่งที่ถูกยกขึ้นมาย้ำซ้ำๆ สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่หาจังหวะที่ใช่แล้วพูดปัญหานั้นขึ้นมาเลยในที่ประชุม พูดสั้นๆ แล้วเงียบเพื่อให้คนอื่นมีเวลาคิดต่อ

อย่าเอาเวลาทั้งหมดมาเพื่อพูดคนเดียว
เวลาที่คนส่วนใหญ่จัดประชุม พวกเขามักจะคิดแค่ว่าตัวเองอยากพูดอะไร และพยายามพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการทั้งหมดให้ได้ก่อนจบการประชุม แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการจากการประชุมนั้นคือการโน้มน้าวให้ทุกคนคล้อยตาม การเปิดโอกาสให้คนอื่นพูดมากกว่าดูจะเป็นทางที่ดีกว่า เพราะเมื่อคนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการรับฟัง พวกเขาก็มักจะรับฟังคุณเมื่อถึงตาคุณพูด

“ความเงียบทำให้เกิดความสงสัย และความสงสัยทำให้เกิดบทสนทนาที่คนอื่นพร้อมรับฟังคุณ”

ความยาวนานของเวลาไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ
ผลลัพธ์ที่ดีมีคุณภาพสำคัญกว่าการต้องไปนั่งจดจ่อว่าเราต้องประชุมยาวๆ จึงจะมีประสิทธิภาพ การจัดการเวลาที่ดีควรเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ และจุดมุ่งหมายของการประชุมก็คือการได้คำตอบหรือทางแก้ปัญหานั้น ไม่ต้องแย่งกันพูดเพื่อให้เราดูเปิดเผยจริงใจ พูดแต่ในสิ่งที่นำไปสู่ผลลัพธ์ก็พอ

นอกจากนี้การประชุมสั้นๆ นั้นมีคุณค่า มากกว่า เพราะเวลาที่คุณมีเวลาน้อย คุณมักจะโฟกัสที่หัวใจสำคัญของการประชุมได้ดีกว่า ไม่ต้องมีอารัมภบทยืดยาวที่กินเวลาโดยใช่เหตุ การประชุมสั้นๆ ทำให้คนจดจ่อกว่าเยอะ

คนที่พูดน้อยกว่ามีอำนาจมากกว่า
เมื่อทุกคนพูดไปหมดแล้ว พวกเขาจะหันกลับมาหาคนที่ยังไม่พูดเสมอ

การที่คุณพูดน้อย ทำให้คนสนใจ และอยากหาคำตอบว่าคุณกำลังคิดอะไรกันนะ ทำไมไม่พูดออกมา ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้คุณมีอำนาจในมือมาก ผู้ประกอบการและนักธุรกิจเก่งๆ มีหนึ่งในคุณสมบัติที่เหมือนกันคือ เขาพูดน้อยมาก แต่คิดมากกว่า และกุมอำนาจไว้มากกว่า

ความเปิดเผยตรงไปตรงมาจะพาคุณไปสู่จุดมุ่งหมายได้เร็วกว่า
การพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม เราจะได้ผลสรุปที่เร็วกว่า การมานั่งบอกให้ทุกคนพูดน้อยแต่ตรงไปตรงมาอาจไม่มีใครฟัง แต่พวกเขาจะเห็นเองว่ามันมีผลแค่ไหนเมื่อการประชุมไปถึงจุดที่ทุกคนต้องเปิดเผย ความตรงไปตรงมาคือสิ่งที่ผู้คนต้องการและซาบซึ้งกับคนที่มีคุณสมบัตินี้มากกว่าที่คุณคิด
เปลี่ยนแพทเทิร์นการประชุมแบบเดิมๆ ซะ
มนุษย์เราชอบทำตามแบบแผนที่ตั้งมาแล้ว เมื่อเราเถียงกันในการประชุม แต่ละฝ่ายมักจะยืนยันว่าตัวเองถูกและชักเอาแม่น้ำทั้ง 5 มาสนับสนุนอีโก้ของตัวเอง และนี่คือแบบแผนที่มีทุกที่ การทำลายแบบแผนใช้แค่ประโยคไม่กี่ประโยคที่ยุติการโต้เถียงนั้น การกล้าพูดในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าคือทางออกที่ดีที่สุด และเมื่อคุณหยุดการโต้เถียงได้ ทุกคนจะมีเวลาหยุดคิดทบทวน และเจอทางแก้ที่เคยมองไม่เห็นเพราะอคติบังตา
ลองสังเกตภาษากายของคนที่เงียบดู
ภาษากายของคนที่นั่งเงียบคือภาพสะท้อนที่ดีที่สุดว่าการประชุมตอนนี้เป็นอย่างไร คนที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ จะแสดงความรู้สึกของเขาผ่านทางท่านั่ง สีหน้า การวางแขน และนั่นเป็นการบอกความรู้สึกที่ชัดมาก

คนที่พูดน้อยที่สุดคือคนที่มีคำตอบ
และคนที่พูดน้อยที่สุดคนนั้นอาจเป็นคนที่มีตำแหน่งต่ำสุดและไม่มีคนสนใจ แต่คนที่แทบไม่พูดมักเป็นคนที่มีมุมมองที่แตกต่าง คนที่คนอื่นให้ความสนใจน้อยที่สุดอาจเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยมที่ซ่อนอยู่ เพราะเขาคือคนที่มีอีโก้น้อยที่สุด

เมื่อคุณไม่มีความรู้หรือประสบการณ์มากมายที่บางครั้งกลายเป็นอีโก้ปิดบังตาคุณ คุณจะเห็นปัญหาและทางแก้ในรูปแบบที่ต่างไป

ฝึกพูดให้น้อยลง มองให้มากขึ้น แล้วคุณจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้

Source

Medium
Created with