“นเรศ เหล่าพรรณราย” เปิดใจรับ Cryptocurrency ก่อนจะพลาดโอกาสสร้างความมั่งคั่ง

ปัจจุบันคนไทยเข้าใจเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มากกว่าเดิมเยอะมากถ้าเทียบกับเมื่อปี 2017 ที่ซื้อขายกันตามข่าวอย่างเดียว เป็นยุคที่คนลงทุนตามกระแสเพราะว่าเล่นตัวไหนก็กำไร ไม่ต้องสนใจเรียนรู้เทคโนโลยีการลงทุน แต่เมื่อฟองสบู่ ICO (Initial Coin Offering) หรือ การระดมทุนแบบดิจิทัลด้วยการเสนอขาย ดิจิทัลโทเคน แตกไป คนที่เคยผ่านจุดนั้นมาก็มีความรู้มากขึ้นและไม่ถูกหลอกง่ายๆ

แต่โดยรวมแล้ว….คนไทยก็ยังรู้เรื่องการเงินในยุคดิจิทัลไม่มากพอ

ในบทสัมภาษณ์นี้ จะพามาทำความเข้าใจกับโลกการเงินในยุคดิจิทัลให้มากขึ้น กับผู้ที่คร่ำหวอดในวงการการเงินมากว่า 15 ปี “นเรศ เหล่าพรรณราย

เริ่มต้นสนใจการเงิน ตั้งแต่เมื่อไร

นเรศ - จริงๆ เรื่องการเงินกับผมมันค่อนข้างจะไกลตัวมาก เพราะสมัยเรียนปริญญาตรีก็เรียนสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นสาขาที่ไม่เกี่ยวข้อง เรียนเศรษฐศาสตร์ ก็ได้เกรด D

ตอนที่เข้ามาเป็นนักข่าวสมัยแรกก็ยังไม่ได้เป็นสายการเงิน แต่มาทำงานอยู่สายการตลาด แต่ก็ได้ยินรุ่นพี่เขาบอกว่าสายการเงินโหดที่สุด จากนั้นมีอยู่วันหนึ่งได้ไปทำข่าวเรื่อง LTF ทำให้รู้ว่าเรื่องการเงินการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ จากนั้นก็เริ่มศึกษามากขึ้น และเมื่อได้ย้ายมาสายการเงินก็ได้เรียนรู้มากขึ้นถึงปัจจุบันนี้ก็ 16 ปีแล้ว

หลังจากเป็นนักข่าวสายการเงินได้ 1 ปี ประมาณปี 2006 ก็เริ่มเปิดพอร์ตลงทุน ซึ่งในยุคนั้นศึกษาการลงทุนจากหนังสือเพียงอย่างเดียว  แต่ด้วยความที่ต้องไปตลาดหลักทรัพย์บ่อยมาก เลยได้มีโอกาสสัมภาษณ์โบรกเกอร์ สัมภาษณ์เจ้าของกิจการทำให้เรามีความรู้เยอะมาก

จากนั้นมีเพื่อนชวนไปทำฟินเทคด้านการลงทุน แต่ก็ยังเป็นเรื่องหุ้นไทย

จนเมื่อปี 2017 ปีที่ Bitcoin เริ่มเป็นกระแส ตอนนั้นคิดว่าเป็นอะไรที่โปรแกรมเมอร์ทำเล่นกัน ไม่ได้คิดว่าเป็นการลงทุน พอเห็นคนรอบข้างลงทุนก็เลยมาทำความรู้จัก ซึ่งในช่วงนั้นก็เริ่มมีข่าวเข้ามาเยอะขึ้น เราก็ศึกษาอย่างหนักเป็นเวลา 1 เดือน ทำให้เห็นว่า หลักการของ Bitcoin มันตรงข้ามกับสิ่งที่เราเคยรู้มาตลอด ตรงข้ามกับโลกการเงินเก่า ซึ่งในตอนแรกก็ไม่ค่อยเชื่อแต่เมื่อเปิดใจศึกษาก็รู้ว่าสิ่งนี้จะออกมาแก้ปัญหาการเงินแบบดั้งเดิม และมาร่วมลงทุนจริงในปี 2019 ที่ Bitcoin เริ่มนิ่งแล้ว
มือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไรดี?
นเรศ - ก่อนอื่นต้องเข้าใจเทคโนโลยีก่อน เหมือนกับการลงทุนหุ้นก็ต้องเข้าใจหุ้น ลงทุนทองก็ต้องเข้าใจทอง คนที่ลงทุนกับคริปโทฯ จะต้องขวนขวายหาความรู้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่ตามข่าวเพียง 3 วันก็ตกกระแสแล้ว เราจะต้องศึกษาเทคโนโลยีและคอยตามข่าวอยู่เสมอ เทคโนโลยีที่ดีในเดือนนี้ เดือนหน้าอาจจะไม่ดีแล้วก็ได้เพราะมีคนทำได้ดีกว่า

อีกส่วนหนึ่งจะต้องเข้าใจหลักการลงทุนเรื่องกราฟเทคนิค การบริหารพอร์ต คือ จะต้องไม่ลงทุนเกินตัว ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นของคู่กัน

ควรลงทุนกับคริปโทฯ แค่ 10% ของพอร์ทจริงหรือ?

นเรศ - แนวคิดนี้ถูกต้อง เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนมาก ถ้าเรามีเงิน 100 บาท แต่ลงไป 90 บาท เวลาที่ขาดทุนก็จะหมดโอกาสแก้ตัว แต่ถ้าเราลงแค่ 10-20 บาท ก็จะมีโอกาสเอากลับมาได้ เราต้องรู้จักบริหารเงินในพอร์ต

แต่คนที่มีความรู้จริงๆ และอยู่ใกล้ชิด อย่างคนที่ทำงานด้านนี้ ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนได้ ซึ่งปัจจุบันผมลงทุนกับคริปโทฯ มากถึง 50% ของพอร์ตการลงทุน เพราะศึกษาจนมั่นใจแล้วว่าเราสามารถอยู่ในตลาดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะเราทำงานอยู่ในธุรกิจนี้ เป็นทั้งที่ปรึกษาให้กับกิจการที่เขาอยากจะมาทำเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้เรารู้มากกว่าการลงทุน

 
จะอยู่รอดในตลาดนี้ได้อย่างไร?
นเรศ - การจะอยู่รอดในตลาดนี้ได้จะต้องมีความรู้ในด้านการลงทุน เรื่องกราฟเทคนิค เรื่องการบริหารเงิน อีกส่วนหนึ่งคือจะต้องเข้าใจในเทคโนโลยี เพราะเมื่อเราจะไปลงทุนในเหรียญที่มันไม่มีอยู่จริง เราจะต้องรู้ว่าเหรียญนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เหรียญที่สร้างขึ้นมาลอยๆ

คริปโทฯ มันเป็นการลงทุนของคนทั่วโลก มันไม่เหมือนตลาดหุ้นดั้งเดิมที่แต่ละคนเชี่ยวชาญหุ้นในแต่ละประเทศ แต่มันเป็นการลงทุนของประชากรโลก ถ้าเรามี Mindset และความเข้าใจก็จะอยู่รอดได้

ความเสียหายจากการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี นั้นมี 2 รูปแบบ คือ การลงทุนเกินตัว กับ เมื่อเห็นราคาลงแล้วไม่ตัดขาดทุน ซึ่งจริงๆ เราสามารถตั้งขายล่วงหน้าไว้ได้ ถ้าจะนอนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้า เราจะตัดขาดทุนที่ราคาไหนก็ตั้งที่เอาไว้ได้เลย

ปัจจุบันคนที่อยู่ในตลาดหุ้นเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น และคนในกลุ่มนี้มีความรู้เรื่องกราฟก็เข้ามาสอนคนที่ไม่มีความรู้
คอร์สที่สอนกับ SHiFT Academy ให้ความรู้ได้ในมิติไหนบ้าง
นเรศ - คอร์สที่ทำกับ SHiFT จะเป็นการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีและศาสตร์การลงทุน เทคโนโลยีก็คือการเข้าใจเหรียญ ส่วนด้านการลงทุนก็คือการดูเทรนด์ ดูกราฟ

เพราะจากประสบการณ์คนที่เป็นนักลงทุน คนจะสนใจคริปโทฯ เมื่อเห็นราคามันพุ่งแต่ไม่ได้สนใจว่า Bitcoin จะเอาไปใช้ทำอะไรได้ มาหวังทำกำไรอย่างเดียว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือเข้ามาลงทุนโดยที่ไม่เข้าใจเรื่องสายการลงทุนเลย แต่เข้ามาเพาะสนใจแค่เทคโนโลยี

เราต้องเข้าใจว่าคนที่เข้ามาลงทุนในคริปโทฯ จะมีความเป็น Geek (มีความสนใจเชิงลึก) สนใจว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาทำอะไรได้บ้าง สนใจ NFT สนใจเกม และเข้ามาลงทุน

โดยเฉพาะเกม จะเป็นเมกะเทรนด์ เพราะปัญหาของเกมออนไลน์ที่ผ่านมา ถ้าจะทำเป็นอาชีพก็ต้องไปลงแข่งต้องมีสปอนเซอร์ จะมีสักกี่คนบนโลกที่จะเป็นแบบนั้น ถ้าเราเล่นเก่งแต่ไม่มีใครชวนเข้าทีมก็ไม่มีประโยชน์ แต่ Blockchain เกม มันถูกออกแบบมาให้ใช้คริปโทฯ และ NFT เข้ามาสร้างรายได้ได้จริง

เหมือนเกม Axie Infinity คนที่ตกงานก็เข้ามาเล่นกัน ซึ่งมีระบบ Scholarship เข้ามาช่วยให้คนที่ไม่มีเงินซื้อตัวละคร หาคนลงทุนให้ และเราเป็นคนเล่นให้ เป็นการแบ่งรายได้กัน

ในอนาคตก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปสู่โลก Metaverse ซึ่งโลกหลังโควิด ชนชั้นกลางจะอยู่ยากขึ้น แต่จะมีช่องทางทำกินใหม่ในโลก Metaverse เช่น ทำงานศิลปะขายในโลกออนไลน์  ไปใช้ชีวิตอยู่ในเกมก็ได้เงิน ซึ่งน่าจะเป็นเมกะเทรนด์แน่นอน

โดยจะมีเงินคริปโทฯเข้าไปผูกกับระบบ ซึ่งปัจจุบันเขาใช้เหรียญ Ethereum เป็นหลัก เพื่อใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และคนไปสร้างเหรียญเป็นของตัวเอง สามารถที่จะสร้างเป็นเหรียญชื่อเราก็ได้ โดยเอา Ethereum มาแก้โค้ดใหม่

ซึ่งปัจจุบัน Visa และ Mastercard ก็สามารถที่จะนำคริปโทฯมาแปลงให้เป็นสกุลเงินที่เราไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้

ทั้งนี้ส่วนตัวผมมองว่างานศิลปะจะยังไม่ได้เป็นเมกะเทรนด์สำหรับ NFT ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะทำกราฟิกแล้วขายได้เป็นหลักล้าน อีกส่วนหนึ่งเพราะ สิทธิ์ของ NFT กับรูปภาพนั้นมันไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่ได้แค่สิทธิ์ถือครองเท่านั้น ซึ่งคนที่คิดว่าจะสะสมมันมีแต่มันไม่ใช่คนทั้งโลก เพราะฉะนั้นมันจึงจำกัดเฉพาะบางกลุ่มที่ชื่นชอบในงานศิลปะ แต่กับเกมนั้นมันเข้าถึงคนได้มากกว่าหลากหลายกลุ่มกว่า เกมจึงน่าจะเป็นเทรนด์แน่นอน เพราะได้ใช้ศักยภาพของ NFT อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์

 
คนที่ไม่เปิดใจศึกษาจะพลาดอะไร?
นเรศ - คนกลุ่มนี้อาจจะพลาดโอกาส อยากจะให้ลองศึกษาสิ่งที่เข้ามาใหม่ๆ ไม่ว่าอะไรที่เข้ามาใหม่ อย่ามีอคติ หรือปิดกั้นสิ่งที่เข้ามาใหม่ๆ ซึ่งโลกเราตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รวดเร็วที่สุดในโลก เพราะมีเทคโนโลยีเข้ามานำ

ในอนาคตการลงทุนจะเป็นเรื่องของคนทั้งโลก แม้แต่ตลาดหุ้นการเปิดพอร์ตไปลงทุนในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยาก ด้านธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ยังสนับสนุนให้คนไปลงทุนในต่างประเทศด้วยตัวเอง

ซึ่งคริปโทฯ ก็เป็นการลงทุนในระดับโลก อย่างเหรียญ Ethereum คนสร้างเป็นคนรัสเซีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหรียญนี้เป็นของสัญชาติรัสเซีย แต่เป็นสัญชาติของโลก จะไม่มีใครสนใจแล้วว่าสินทรัพย์นั้นเป็นของประเทศอะไร

อยากให้ลองเปิดใจกับเทคโนโลยีการลงทุนใหม่ๆ เพราะว่าเรากำลังอยู่ในช่วงที่เป็นขาขึ้นที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล อยากให้ทุกคนลองศึกษาดู

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

-Metaverse และ NFT โอกาสสร้างตัวตนและความมั่งคั่งในโลกอนาคต?
-ทำไมถึงควรลงทุนกับ 7 เมกะเทรนด์โลก
Created with