“หมอนัท” สัตวแพทย์ ผู้ท้าทายตัวเองกับการปั้นธุรกิจ และการลงทุน

จากสัตวแพทย์ ขยับมาเป็นนักลงทุน ที่ปรึกษาการลงทุน ก่อนจะก้าวมาสู่การเป็นนักธุรกิจ ของ น.สพ.ธนัฐ ศิริวรางกูร (หมอนัท) นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย และ ความอยากเห็นสิ่งที่ทำประสบความสำเร็จ

ในบทสัมภาษณ์นี้ SHiFT Your Future จะพามาพูดคุยกับ น.สพ.ธนัฐ ศิริวรางกูร ถึงเป้าหมายชีวิตในด้านการเป็นนักธุรกิจ และมุมมองด้านการลงทุนกองทุนรวม

ปัจจุบันหมอนัททำตั้งแต่ งานเขียนบทความการเงิน  ทำ LIVE ในเพจที่เกี่ยวกับด้านการเงิน เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเงิน เป็นวิทยากรให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกับแบงก์ชาติ นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์สอนด้วย

แต่กับด้านการเป็นนักธุรกิจนั้น หมอนัท มีการขยับขยายมากกว่าด้านคอนเทนต์…

เริ่มต้นที่ธุรกิจส่วนตัวชื่อ EastTech รับงานด้านที่ปรึกษาให้บริษัทหลักทรัพย์ที่สนใจจะขยายธุรกิจตัวเองไปลงทุนในต่างประเทศ หรือทำพอร์ตการลงทุนให้มีลูกค้ามากขึ้น

บริษัทที่ 2 ชื่อ Digital Asset Management ให้บริการการเงินออนไลน์ การบริหารสินทรัพย์ออนไลน์ทั้งหลาย เช่น ซื้อทองออนไลน์ และมีแผนจะมีการทำเรื่องการจัดการภาษี การวางแผนเกษียณ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับการเงินที่พนักงานหรือคนทั่วไปสามารถใช้สำหรับลงทุนได้ ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งล่าสุดระดมทุนรอบ Seed Round ไปแล้ว

และ บริษัทสุดท้าย ทำเรื่องการพัฒนา HR Platform เพื่อนำไปใช้ดูแลสวัสดิการพนักงาน เรื่องการขาดลามาสาย เชื่อมต่อไปในระบบต่างๆ ที่พนักงานจะต้องติดต่อกับฝ่ายบุคคล เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่เริ่มมีลูกค้าแล้ว 3-4 บริษัท

HR Platform เชื่อมต่อโลกการเงิน สุขภาพ กับผู้คน

หมอนัท โฟกัสกับการพัฒนาแพลตฟอร์มด้าน HR มากเป็นพิเศษ เพราะมองว่าในอนาคตจะสามารถเชื่อมต่อกับเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน และสุขภาพ เข้ากับชีวิตของคนได้มากมาย

“ธุรกิจ HR เป็นธุรกิจด้านข้อมูล ข้อมูลพนักงานทั้งหมดอยู่กับเรา จุดแข็งคือ ทำให้เรารู้พฤติกรรมบางอย่างของพนักงานได้ เป็นข้อมูลตลอดการทำงานประมาณ 40 ปี จะทำให้เห็นว่าบริษัทต้องการคนแบบไหนที่จะทำให้บริษัทเติบโตขึ้นได้ คนแบบไหนที่มีแนวคิดเหมือนองค์กร” หมอนัท กล่าว

หมอนัท กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน HR Platform กำลังจะขึ้นระบบและลูกค้าตอบสนองค่อนข้างดี หน้าที่ของเรา คือ เข้าไปทำระบบ PMS หรือ Performance Management System  เป็นการประเมินการทำงานของพนักงาน เช่น การตั้ง KPI และ OKR และการจ่ายผลตอบแทนเป็นไตรมาส โดยจะถูกนำไปใช้กับพนักงานมากถึง 200,000 คน เราจึงพยายามที่จะผลักดันโครงการนี้ให้เสร็จ เป็นความท้าทายที่จะทำให้เกิดให้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาให้ประเมินสุขภาพพนักงาน ทำประกันสุขภาพ หรือเรื่องการเงินอื่นๆ ที่จำเป็นกับชีวิตพนักงาน ซึ่งถ้าพัฒนาให้ดี เราจะสามารถเชื่อมต่อกับทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนตลอดการทำงานได้เลย

“ความโชคดีของผม คือ บริษัทได้ทีมงานที่มีความเข้าใจกับการทำงานในสาย HR ถ้าใครที่จะทำเรื่อง Consult Benefits ให้พนักงาน ทำเรื่อง Flexible Benefits หรือเรื่องของประกันที่จะมาต่อยอดกัน ในประเทศไทยนั้นมีอยู่เพียง 4 คนที่ทำได้ ซึ่ง 2 จาก 4 คน คนมาอยู่กับบริษัทผม”

ปัจจุบันบริษัทนี้กำลังขอระดมทุนอยู่ เพราะเริ่มมีทีมงานไม่พอ และการพัฒนาแพลตฟอร์มยังกินเวลาทำงานของหมอนัทไปถึง 80% ต่อวัน ซึ่งถ้าได้กลุ่มทุน (Venture Capital) มาลงทุนก็จะช่วยให้ธุรกิจสเกลได้เร็วขึ้น

“ถ้าเราทำแพลตฟอร์มให้ถูกใจบริษัทได้ เขาก็จะใช้เราไปในระยะยาว เพราะการเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งระบบมันเป็นเรื่องยาก”
อยากเห็นคนไทยรักการออม ผ่านการออมทอง
เร็วๆ นี้ หมอนัท กำลังจะเปิดแพลตฟอร์ม Safegold ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทออมทองเบอร์ 1 จากอินเดีย

“ปัจจุบันเราจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบลงทุน นิสิตนักศึกษากระโดดเข้าไปลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) โดยที่ไม่ผ่านการลงทุนชนิดอื่น ส่วนตัวมองว่าคนไทยออมน้อยไปหน่อย จึงอยากจะให้คนไทยออมแบบเป็น Micro Investment แทนที่จะไปหยอดกระปุกก็เปลี่ยนมาเป็นซื้อทองเก็บเอาไว้ และสามารถนำทองออกมาได้ โดยมีคนมาส่งของให้ถึงบ้านซึ่งรับประกันว่าทองไม่มีการหายแน่นอน”

Safegold เป็นแพลตฟอร์มออมทองที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาจัดการ ทำให้คนที่ซื้อทองก็ไม่ต้องกังวล เพราะบล็อกเชนเข้ามาสลักชื่อเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกการซื้อนั้นจะมีทองจริงๆ และสามารถถอนทองแท่งออกมาได้ ขณะที่ทองถูกจัดเก็บไว้อย่างดีในตู้นิรภัยที่ได้มาตรฐานระดับโลก

ซึ่งคนไทยอาจจะสงสัยว่าแล้วทองอยู่อินเดีย จะส่งมาไทยอย่างไร?

ตรงนี้หมอนัท ตอบว่า ในกรณีที่คนไทยอยากจะนำทองออกมาก็จะมีพาร์ทเนอร์อีกเจ้าหนึ่งชื่อบริษัท Ausiris เป็นตัวกลางให้คนเปลี่ยนจากหน่วยไปเป็นทองแท่งได้

หลังจากนี้หมอนัท ยังมีแผนขยายแพลตฟอร์มการออมเงินโดยได้ดอกเบี้ยสูงเข้ามาอีก หรือการซื้อประกันแบบ Micro insurance เริ่มต้นที่ 50 บาทก็สามารถซื้อประกันได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่อยากทำให้คนไทยออมง่ายที่สุด

ความท้าทาย คือ การทำธุรกิจให้สำเร็จ

หมอนัทมองว่าตัวเองเป็นเป็ด ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ลงลึก แต่สิ่งที่หมอนัทมีมากกว่าความหลากหลาย คือ ทักษะการเข้าใจอย่างรวดเร็ว และรู้วิธีการต่อยอด

หมอนัท เล่าว่า ความท้าทาย คือ จะทำธุรกิจนี้ให้มันโตได้อย่างไร อยากเห็นธุรกิจของเราโตได้โดยไม่เจาะจงว่าจะต้องทำธุรกิจแนวไหนโดยเฉพาะ แต่ชอบในการเห็นการเติบโตในสิ่งที่เราทำ

“ย้อนกลับไปในสมัยเด็ก ประมาณ ม.3 ได้ไปขายน้ำ ขายไอติม แถวคุรุสภา ตอนนั้นขายดีมาก เพราะคนเยอะและอากาศมันร้อน แต่ก็คิดว่าเราจะทำอย่างไรให้ขายได้ดีกว่านี้ ก็เลยไปซื้อพัดลมใส่ถ่านมาขาย ผมว่ามันเป็นนิสัยตั้งแต่วัยเด็กที่เราอยากทำงานและอยากขายให้ดีขึ้น”

“แต่บางเวลาก็หายนะเหมือนกัน” หมอนัทกล่าวพร้อมหัวเราะ ก่อนเล่าต่อว่า เพราะการที่เราทำหลายอย่างเวลาก็จะถูกแบ่งออกไป อะไรที่เรามีคนช่วยได้เราก็จะโยนให้เขาทำไปเลย พยายามกระจายงานอย่างเต็มที่ หน้าที่ของเราเข้ามาตามและช่วยตัดสินใจ เราต้องไว้ใจทุกคนที่ให้มาช่วยทำงาน นอกจากนี้ยังพยายามลงวันกับเวลาทำงานไม่ให้เกิน 18:00 น. ในแต่ละวัน เพราะเคยทำงานจนถึง 3-4 ทุ่ม แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น คือ การตัดสินใจมันไม่ดีเพราะสภาพร่างกายเราไม่พร้อมแล้ว

ความท้าทายของการทำธุรกิจ ไม่ได้แค่อยากจะมี แต่ หมอนัท ตั้งเป้าขยายแพลตฟอร์มสู่ต่างประเทศ

หมอนัท กล่าวว่า 2 ธุรกิจที่ทำอยู่ เราตั้งเป้าจะขยายแพลตฟอร์มไปต่างประเทศ ล่าสุดเราได้พาร์ทเนอร์เจ้าหนึ่งที่เข้ามาทำเรื่อง HR ซึ่งเขาตั้งเป้าที่จะสเกลธุรกิจไปอินโดนีเซีย และประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเขาเป็นบริษัทใหญ่ที่ทำระบบ HR หลายบริษัท แต่เขาอยากได้โมดูลบางอย่างที่เขาไม่มี แต่เรามี ก็ต้องดูว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

ส่วนแพลตฟอร์มออมทอง ทางอินเดียก็อยากให้เราดูแลประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เบื้องต้นก็จะขอดูกระแสตอบรับในประเทศไทยก่อนที่จะหาทางขยายไปในประเทศอื่นๆ เพราะคนเอเชียนั้นมีนิสัยซื้อทองคล้ายๆ กัน ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้
ทำธุรกิจมากมาย แต่ไม่ทิ้งการลงทุน
หมอนัทยังลงทุนอยู่เหมือนเดิม แต่ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันเงินลงทุนของหมอนัทอยู่ในต่างประเทศ 90%

หมอนัท เล่าถึงการลงทุนว่า ศักยภาพการเติบโตในประเทศไทยมันน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมันมีผลต่อการเติบโตในระยะยาว คนไทยอย่าเพิ่งวางใจกับการเปิดประเทศหลังโควิด เพราะประเทศไทยยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเมืองอยู่ จึงยังไม่ลงทุนในประเทศไทยมากนัก แต่ถ้าบางจังหวะที่เห็นหุ้นตัวไหนน่าสนใจก็จะซื้อ

ซึ่งการลงทุนนั้น หมอนัท จะพิจารณาอยู่ 5 ข้อ คือ

-การลงทุนนั้นมันเติบโตในระยะยาวได้หรือไม่
-ราคาถูกหรือแพง เช่น ประเทศจีนที่มีข่าวด้านเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าอยู่ในระยะยาวก็ยังดีอยู่ การที่ราคาร่วงลงมาถือว่าเป็นโอกาสหรือไม่
-กระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลเข้าประเทศนั้นๆ หรือกลุ่มธุรกิจนั้น
-ดูเทรนด์ หรือการดูกราฟเทคนิคต่างๆ
-อ่านข้อมูลให้มาก

ปัจจุบัน หมอนัทลงทุนกับหุ้นและกองทุน Healthcare เพราะมีความชอบ ความเข้าใจ และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว

หมอนัท กล่าวว่า เทรนด์สุขภาพยังไงก็มา เพราะโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เรื่องสุขภาพเป็นปัจจัย 4 ที่ต้องอยู่กับเราไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเข้ามาดันให้เติบโต ส่วนตัวลงทุนมาประมาณ 10 ปีแล้วกับเรื่องสุขภาพ

นอกจากด้านสุขภาพแล้ว หมอนัทยังลงทุนกับ อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) มาหลายปีแล้ว เพราะมองว่าอัตราการเติบโตยังมีอีกมาก หลายประเทศยังต้องการอีคอมเมิร์ซ

ด้านเทคโนโลยี หมอนัทแนะนำว่า ลงทุนกับตัวไหนก็ได้ ไม่เฉพาะด้าน AI เพราะเทคโนโลยีจะยังอยู่ไป ธุรกิจหันมาทำแพลตฟอร์มมากขึ้น ยังสามารถโตได้อีกมากมาย แต่ก็อาจจะมีความหวือหวาบ้าง เพราะจะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเสมอ

ส่วน DeepTech เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่หมอนัทสนใจ และจับตามอง เพราะจะเป็น New Growth แต่อาจจะต้องใช้เวลานาน

“Healthcare เป็นสายที่เรามีความรู้ ก็จะสามารถเลือกบริษัทลงทุนเองได้ ส่วนอุตสาหกรรมไหนที่ไม่สามารถคัดหุ้นเองได้ ก็จะใช้การลงทุนผ่านกองทุนรวมไป ซึ่งถ้าเราเลือกกองทุนที่กระตือรือร้น เขาก็จะคอยปรับให้เราอย่างสม่ำเสมอ ก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น”

นอกจากนี้ หมอนัท ยังสนใจในคริปโทเคอร์เรนซี อีกด้วย

หมอนัท กล่าวว่า คริปโทเคอร์เรนซี จะเข้ามามีผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะมีคนหลายกลุ่มเข้ามาพัวพัน ทั้งธนาคาร นักลงทุน เข้ามาลงทุนกันค่อนข้างมาก ซึ่งมันเป็น Big Change แต่ก็อยากจะรู้ว่าปลายทางมันจะไปจบที่ตรงไหน ยังเป็นธุรกิจที่จับตามองอยู่ ส่วนตัวซื้อไปหลายเหรียญเหมือนกัน ก็มีจังหวะทั้งได้และเสีย ซึ่งก็จะแนะนำเด็กๆ รุ่นใหม่ให้เข้ามาศึกษาเรื่องนี้ เพราะในอนาคตจะต้องใช้บล็อกเชน แต่ก็อย่าไปลงทุนกับมันเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาก

“อยากจะแนะนำนักลงทุนที่กำลังสนใจลงทุนในต่างประเทศว่า การลงทุนในต่างประเทศมันง่ายมากเหมือนกับการลงทุนในประเทศ มีแพลตฟอร์มที่สามารถดึงคนไทยไปลงทุนได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้ข้อมูลว่าสิ่งที่เราจะไปลงทุนนั้นมันคืออะไร เราต้องเข้าใจ เพราะถ้าไม่เข้าใจการลงทุนจะมีความเสี่ยงมากขึ้น การที่มีความรู้และเข้าใจสินทรัพย์ความเสี่ยงนั้นจะลดลงไปมากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ สินทรัพย์ยังมีให้เลือกหลากหลาย เราควรจะเลือกลงทุนในสิ่งที่เราชอบ โฟกัสกับสิ่งที่เราเข้าใจ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก เราจะไม่ร้อนรนกับมัน และมีความสบายใจ ปัจจุบันข้อมูลหาได้ไม่ยาก ซึ่งในคอร์สที่ผมสอนกับ SHiFT จะเป็นแนวทางให้นักลงทุนได้เรียนรู้วิธีการลงทุนในต่างประเทศอย่างถูกต้อง” หมอนัท กล่าวทิ้งท้าย

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

-“นเรศ เหล่าพรรณราย” เปิดใจรับ Cryptocurrency ก่อนจะพลาดโอกาสสร้างความมั่งคั่ง
-ทำไมถึงควรลงทุนกับ 7 เมกะเทรนด์โลก

 

สมัครคอร์ส International Mutual Fund (ตะลุยลงทุนทั่วโลกด้วยกองทุนรวม) ทางเลือกที่ดีที่สุดในการลงทุนต่างประเทศ ให้คุณมีโอกาสถือหุ้นของบริษัทชั้นนำของโลก เรียนกับ น.สพ.ธนัฐ ศิริวรางกูร (หมอนัท)
 
จองวันนี้ - 13 ตุลาคม 2564 จ่ายเพียง 2,490.- จากราคาเต็ม 4,990 บาท
เพียงติดต่อที่ Inbox เพื่อแจ้งรับสิทธิ m.me/shiftyourfuture.page
 สมัครวันนี้: เข้าเรียนวันที่ 14 ตุลาคม 2564 เวลา 11:00 น.
Created with