ณัฐ จูงวงศ์ “พ่อบ้านคริปโต” จากพื้นที่ส่งต่อความรู้ ต่อยอดสู่นักธุรกิจบนโลก DeFi

จากคนที่เปิดบริษัทรับจ้างทำสื่อ ทำคอนเทนต์ของ “ณัฐ​ จูง​วงศ์​” แต่หลังจากเกิดวิกฤติโควิด-19 ทำให้รายได้จากงานหลักหดหายไป และเริ่มไม่พอกับค่าใช้จ่าย จนต้องเริ่มมองหาช่องทางลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ ในตอนแรกตัดสินใจจะเปิดพอร์ทหุ้น แต่เมื่อไปปรึกษาเพื่อน กลับได้รับการชักชวนให้ไปเริ่มต้นที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ “ณัฐ” สนใจและเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจัง ก่อนจะเปิดพอร์ทลงทุน และตามมาด้วยการเปิดเพจ พ่อบ้านคริปโต เพื่อเก็บไว้เป็นแหล่งข้อมูลของตัวเองและให้คนทั่วไปที่สนใจได้เข้าใจเรื่องคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น ซึ่งหลังจากเปิดเพจตั้งแต่เดือนเมษายน ผ่านมา 6 เดือน เพจมีผู้ติดตามทะลุ 1 แสนคนแล้ว

“ภาษาของคริปโทเคอร์เรนซีมันค่อนข้างยาก สำหรับคนที่เข้ามาใหม่ๆ เราพยายามศึกษาและแปลงให้มันเข้าใจง่าย” ณัฐ​ จูง​วงศ์ เจ้าของเพจ พ่อบ้านคริปโต เปิดให้สัมภาษณ์กับ SHiFT Your Future

ณัฐ​ เล่าต่อว่า ผมเองก็เริ่มจากพื้นฐานและโตไปพร้อมกับเพจ ช่วงหนึ่งที่อยากรู้เรื่อง DeFi ก็จะทำคอนเทนต์แนวนี้เยอะมาก พอสนใจ GameFi ก็หันมาทำคอนเทนต์เรื่องเกมในโลกคริปโทฯ อีกช่วงหนึ่งก็สนใจเรื่อง ICO (Initial Coin Offering) ก็จะไปหาข้อมูลพวกนี้มานำเสนอ

“เพจจะเปลี่ยนไปตามความสนใจของเรา แต่คอนเซปต์ก็คือทำภาพให้สวย ส่วนเนื้อหาจะเน้นให้กระชับ เป็นข้อมูลที่ถูกย่อยมาแล้ว เข้าใจง่าย”

ซึ่งการสร้างเพจโดยเริ่มต้นเพียงแค่ว่าอยากจะใช้เป็นช่องทางสื่อาร ให้ความรู้การลงทุน แต่ปัจจุบันเพจ พ่อบ้านคริปโต นั้นมีรายได้จากรับสปอนเซอร์เข้ามาเสริมด้วย

จากเห็นเหรียญอะไรก็ชอบ กลายเป็นคนวางแผนลงทุน

ณัฐ​ เล่าว่า ตอนแรกที่เข้ามาในตลาดคริปโทเคอร์เรนซียอมรับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ลงทุนตามเพื่อน เพื่อนลงทุนสาย Cadano (ADA) ก็จะเล่าข้อมูลให้ฟังตลอด 1 เดือนแรก ทำให้เราสนใจมันมากขึ้นและลงทุนกับ ADA เป็นเหรียญแรก

แต่พอเข้ามาอยู่ในกระดานเทรดมากขึ้น ก็เริ่มขยับไปเหรียญอื่น อย่าง BNB มีช่วงหนึ่งไปสนใจ Ethereum (ETH) ก็ซื้อเก็บเอาไว้

“ยอมรับว่าในช่วงแรกนั้นค่อนข้างมั่ว ไม่ได้มีหลักการอะไรเลย เหมือนคนใหม่ๆ ที่เห็นอะไรก็ชอบไปหมด แล้วก็อยากจะซื้อทุกอย่าง”

แต่เมื่ออยู่ในตลาดมาได้ระยะหนึ่ง เริ่มเข้าใจตลาดมากขึ้น ทำให้ ณัฐ เริ่มลงทุนอย่างมีแบบแผนมากขึ้น

“คือเราไม่อยากจะโทรถามเพื่อนบ่อย ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเองมากขึ้น ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่า เหรียญนี้มันมาจากไหน”

แต่ด้วยความที่ ณัฐ มี Community ที่สร้างไว้ ก็จะมีคนมาแนะนำว่ามีเหรียญอะไรใหม่เข้ามาในตลาดบ้าง ก็จะลองไปศึกษาดูว่าชอบหรือไม่ ถ้าชอบก็ลองลงทุน จนเริ่มที่จะแบ่ง Tier ของเหรียญ ได้แล้วว่า แต่ละ Tier จะแบ่งการลงทุนอย่างไร ในเรื่องของคุณภาพ มาตรฐานของเหรียญ ซึ่งเราก็จะแบ่งการลงทุนอย่างชัดเจน

Tier ต้นๆ ก็จะเก็บเหรียญที่มี Market cap สูงๆ Tier ต่อมาจะเป็นเหรียญอนาคตเน้นถือยาว 2 ปีขึ้นไป Tier ที่ 3 ก็จะเป็นพวกเหรียญมีม (Meme coin) ที่ซื้อเก็บเล่นๆ อย่างพวก Doge หรือ Shiba Inu ส่วนพวก ICO ก็จะแยกกระเป๋าออกมาเลยว่าจะลงเท่าไร

“Bitcoin ที่คนลงทุนกัน ผมไม่ได้อินกับมันเท่าไร เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น ไม่มีอะไรทำให้รู้สึกว่าเหรียญจะพัฒนาไปทางไหนต่อ”

ณัฐ เล่าต่อว่า ส่วนตัวจะเน้นลงทุนกับ Altcoins เพราะมันมีช่องว่างให้เติบโตได้มากกว่า Bitcoin มีโอกาสเติบโตไปได้มากถึง 20 เท่า ในระยะยาว ถ้าจะถามเรื่องความเสี่ยง ส่วนตัวมองว่าเราต้องรับให้ได้ตั้งแต่วันแรกที่จะเข้ามาในตลาดนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องราคาเหรียญ แต่มันมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Exchange เรื่องกระเป๋าเงินดิจิทัล ก็มีความเสี่ยง ซึ่งในช่วงแรกที่ลงทุนพอเหรียญราคาตกแล้วก็วิตกกังวล แต่ก็มีตัวช่วยเป็นเพื่อนที่คอยมาเบรก ให้คำปรึกษา และให้วางแผนว่าในช่วงที่ราคามันลงต้องทำอย่างไร

“ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าคริปโทฯ เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งกับมันทุกวัน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ดูกราฟตลอดเวลา ปกติใน 1 เดือนก็จะเทรดอยู่แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งคือเราศึกษาทุกอย่าง มีพี่ๆ อินฟลูเอนเซอร์ หลายคนเขาเปิดคอร์สสอน เราก็เข้าไปเรียน ทำให้เราได้เรียนรู้เกือบทุกอย่าง”


คนไทยตื่นตัวกับตลาดคริปโทฯ เชื่อปีหน้าโตไม่หยุด

ณัฐ คาดการณ์ว่า ทิศทางของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีจะโตไปเรื่อยๆ ปีหน้าจะมีเหรียญออกมาอีกมากมาย แต่อาจจะไม่ได้โตแบบก้าวกระโดด ส่วนตัวมองว่ามันเป็นเรื่องของช่องว่างของวัย เพราะคนที่อยู่ในตลาดตอนนี้จะเป็นคนที่อยู่ในรุ่น Gen X และ Y แต่เมื่อ Gen Z เริ่มโตขึ้นมา เริ่มเข้ามาศึกษาหลายๆ อย่าง เชื่อว่าตลาดจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้

“ถ้าดูจาก Market cap ของการเงินโลกทั้งหมดเราก็รู้ได้ว่า ตอนผมเข้ามาคริปโทเคอเรนซียังมี Market cap แค่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ผ่านมา 6 เดือน เพิ่มเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์ แล้ว”

ขณะที่คนไทยค้นหาเรื่องคริปโทฯ เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีช่วงหนึ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก คนไทยโตเร็วมากในเรื่องนี้ มีคนเปิดบัญชีใช้งาน Bitkub ประมาณ 2 ล้านคน และก็ยังมีคนที่ใช้แพลตฟอร์มอื่นอีก เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีคนเข้ามาอยู่ในตลาดนี้ 3-4% ของคนทั้งประเทศแล้ว แต่ถ้าตัดผู้สูงอายุไปประมาณ 20% (อายุมากกว่า 50 ปี) แสดงว่าประเทศไทยมีความสนใจในเรื่องนี้มากกว่า 10% แล้ว (อายุ 18-50ปี) เพราะฉะนั้นตลาดนี้จะยังโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเด็กสมัยนี้เก่งแล้วไวมากกับเรื่องพวกนี้

ส่วนตลาด NFT ที่เป็นกระแสมาแรงในช่วงนี้นั้น ณัฐ มองว่า เป็นพื้นที่สำหรับศิลปินได้แสดงผลงานมากกว่า ซึ่งณัฐก็ตามกระแส ทำผลงาน NFT ขาย เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร อยากเข้าใจความรู้สึกที่ขายงานได้ แต่ก็มองว่าตัวเองไม่ได้เหมาะกับทุกๆ อย่างที่เข้ามา แต่ถ้ามีโอกาสก็จะซื้อผลงาน NFT มาสะสม แต่ยังไม่ได้เล็งอะไรไว้เป็นพิเศษ

ด้านตลาด GameFi อีกหนึ่งกระแสของเด็กรุ่นใหม่ ณัฐ มองว่า เป็นการ Play to Earn ก็จริง แต่ก็ต้องลงทุนก่อนอยู่ดี มันไม่ใช่การเล่นฟรีแล้วได้เงิน GameFi ต้องมีอะไรที่มากกว่านี้ มีลูกเล่นใหม่ๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเทรนด์ที่มาแล้วไปจะอยู่ไม่นาน

“เพราะยังไงเกมก็เป็นส่วนหนึ่งของทุกตลาด เกมมันคือความบันเทิง เราได้ความสนุกด้วยและได้เงินด้วยยังไงมันก็ดีกว่า”

 

วางแผนทำธุรกิจ ส่งต่อความรู้คริปโทเคอร์เรนซี

จากจุดเริ่มต้นของการทำเพจเพื่อให้ความรู้กับคนที่ลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ผ่านไปเพียงแค่ 6 เดือน ณัฐ มีแผนจะทำธุรกิจในโลก DeFi ร่วมกับเพื่อน

ณัฐ วางแผนจะทำเหรียญออกมา เป็น Project GameFi ทำร่วมกับเพื่อนที่เป็นบริษัททำ Event โดยจะเข้าไปเป็น CMO (ผู้บริหารฝ่ายการตลาด) ให้ ซึ่งปัจจุบันหลายๆ อย่างเริ่มพร้อมแล้ว และกำลังจะเตรียมไปคุยกับทีมที่ออกเหรียญ กลยุทธ์ธุรกิจ เพื่อที่จะเปิดตัวได้ในไตรมาส 4 นี้

“งานหลักของเราคือ การสร้างคอมมูนิตี้ให้ได้ หลังจากนั้นก็ทำตามสัญญาให้กับนักลงทุน เพื่อให้คนเชื่อมั่น ส่วนเรื่องคุณภาพแพลตฟอร์มก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีคนชอบเรามากแค่ไหนก็ต้องมาลุ้นกัน”

นอกจากนี้ยังวางแผนไว้ว่าจะทำคลิปให้ความรู้คนกว่า 100 คลิป ณัฐ กล่าวว่า จะเห็นว่าแต่ละคนเวลาเขาทำคลิปสอนก็จะสอนเรื่องพื้นฐาน แต่จริงๆ แล้วคนที่เข้ามาในตลาดนี้ เขาอยากรู้เรื่องของวิธีการมากกว่า เช่น ถ้าอยากจะซื้อเหรียญที่กระดานจะต้องทำอย่างไร ถ้าเหรียญยังไม่ได้ถูกขายผ่านแพลตฟอร์มจะต้องซื้ออย่างไร การไปเชนอื่นต้องทำอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสอนเพราะมันค่อนข้างยากและคนทั่วไปถ้าไม่ได้มีความรู้จริงๆ ก็จะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งก็ตั้งใจจะทำคลิปสอนเรื่องพวกนี้มากๆ ทำให้คนที่จะเข้ามาลงทุนมีช่องทางมาขึ้น แทนที่จะเทรดแค่ในกระดาน

หรือแม้แต่ในแพลตฟอร์มซื้อขายก็ยังมีฟีเจอร์อีกมากที่คนไม่ค่อยรู้ และไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการทำ Stake การปล่อยกู้ มันเป็นช่องทางการทำเงินของแพลตฟอร์มเช่นเดียวกัน

ส่วนแผนสุดท้าย คือ จะไปสอนผู้สูงอายุในวัย 50+ ให้รู้จักการเทรดคริปโทเคอเรนซี ซึ่งคนกลุ่มนี้น่าจะค่อนข้างมีเวลา และสนใจในการลงทุน


แนะนักลงทุนหน้าใหม่ ต้องศึกษาให้ดี กล้ารับความเสี่ยง

ณัฐ กล่าวว่า สำหรับมือใหม่ควรจะต้องรู้ทุกอย่างเท่าที่จะรู้ได้ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากตั้งแต่ตอนสมัคร เพราะแต่ละคนพื้นฐานความรู้ไม่เท่ากัน บางคนไม่เคยสมัครแม้กระทั่งอีเมล แต่อยากเข้ามาลงทุนในคริปโทฯ เราต้องเปิด Mindset ตัวเองให้เป็นคนที่สนใจที่จะเรียนรู้หรือถามตัวเองก่อนว่าเราเป็นคนที่พร้อมที่จะเรียนรู้หรือไม่

“ผมจะบอกทุกครั้งว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่าคริปโทเคอเรนซีมันมีไว้ทำอะไร และมันเกิดประโยชน์กับเราหรือไม่”

เทคโนโลยีใหม่ๆ มันมาเพื่อแก้ปัญหา คล้ายๆ กับสตาร์ทอัพ คริปโทเคอเรนซีก็เช่นกัน เช่น Bitcoin เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงิน เหรียญอื่นๆ ก็มาแก้ปัญหาต่างๆ อีกส่วนหนึ่งคือต้องถามตัวเองว่าพร้อมจะเสี่ยงกับมันหรือไม่ พร้อมที่จะขาดทุนได้ทุกเมื่อกับตลาดนี้ไหม ซึ่งตลาดนี้ก็จะมีความเสี่ยงสูงหน่อยเพราะมันยังใหม่มากๆ

การเรียนรู้จึงสำคัญมากๆ เพราะเทคโนโลยีมันเกิดขึ้นมาใหม่ตลอด เราต้องทันโลก ต้องรู้ว่าจะไปหาข้อมูลจากคอมมูนิตี้ไหน ติดตามข่าวจากที่ไหน เช่น ถ้าเจอใครเปิดเพจแล้วประกาศว่าจะผลิตเหรียญออกมา 1 พันล้านเหรียญ ให้คนมาลงทุนขั้นต่ำ 1000 บาท ถ้าเจอรูปแบบนี้ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าโกงแน่นอน

แต่ถ้าเป็นแพลตฟอร์มที่มีความตั้งใจในการทำก็จะต้องศึกษาและตรวจสอบให้ดี ซึ่งส่วนตัวก็ซื้อเหรียญ ICO ที่ยังไม่ได้ลิสในตลาด ซื้อเหรียญที่เป็นโปรเจกต์ไว้มากเหมือนกัน แต่ที่กล้าซื้อเพราะศึกษา และต้องตรวจสอบได้ในระดับหนึ่ง ตั้งแต่ทีมงานว่าเป็นใคร มีที่มาอย่างไร มีประสบการณ์มาจากไหน และค่อยวางแผนว่าจะลงทุนกับโปรเจกต์นี้เท่าไร เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราเปิดโลกไปในตัว เพราะความอยากรู้ของเรา

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

-เปิดมุมมอง “รัฐโรจน์ พณิชย์จุติ” กับอนาคตงานศิลปะ NFT และเป้าหมายสู่ระดับโลกของ NextArt
-3 ช่องทางสร้าง Passive Income จากคริปโทเคอร์เรนซี
Created with